(Last Updated On: 29/10/2021)
ตับอักเสบ

เมืองไทยถึงจะได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ แต่เรื่องของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของบ้านเรานี่ไม่แพ้ชาติใดเค้าเลยนะ ซึ่งการดื่มแอลกอฮอล์นั้นก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของโรคร้ายที่เราจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกันในวันนี้ กับ ตับอักเสบ โรคที่คร่าชีวิตคนจำนวนมาก และทำให้สุขภาพร่างกายของคนป่วยทรมานสุด ๆ

ซึ่งตับอักเสบคืออะไร มีอาการยังไง สาเหตุเกิดจากอะไร และจะมีวิธีไหนที่จะช่วยป้องกันได้บ้าง ถ้าอยากรู้แล้วก็ตามไปชมกันเลย

ตับอักเสบ คืออะไร

ตับอักเสบ คือ การที่ตับเกิดภาวะอักเสบ ซึ่งอาจมีที่มาจากการติดเชื้อไวรัส หรืออาจจะมาจากสาเหตุอื่นได้ เช่น ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ใช้ยาเสพติด หรือเป็นผลข้างเคียงมาจากการได้รับยาบางชนิด รวมไปถึงการได้รับสารพิษ และระบบภูมิคุ้มกันทำลายตับ

โดยพฤติกรรมทั้งหมดนี้ทำให้ตับได้รับความเสียหายจนเกิดเป็นอาการป่วยขึ้นมา ซึ่งนำไปสู่การเกิดปัญหาตับอักเสบขึ้นนั่นเอง และถ้าปล่อยให้เกิดอาการตับอักเสบเป็นเวลานาน ก็จะทำให้การทำงานของตับผิดปกติไป และนำไปสู่โรคไขมันพอกตับ ตับแข็ง หรือเป็นมะเร็งตับได้เลย

อาการโรคตับอักเสบ

อาการตับอักเสบแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ

1. อาการตับอักเสบเฉียบพลัน

สำหรับอาการตับอักเสบเฉียบพลันนั้น จะมีอาการและรักษาให้หายได้ภายใน 6 เดือน

2. อาการตับอักเสบเรื้อรัง

เกิดจากไวรัส 2 ชนิด คือ ไวรัสตับอักเสบบี และ ไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งถ้าไม่สามารถควบคุมโรคได้ และมีอาการต่อเนื่องนาน 6 เดือนขึ้นไป จะเรียกว่าอาการตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเป็นโรคที่เซลล์ตับจะค่อย ๆ ถูกทำลายไปเรื่อย ๆ และเกิดพังผืดขึ้นมาแทนที่ จนทำให้ตับทำงานไม่ได้ และไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติได้อีก เป็นอาการที่นำไปสู่ภาวะตับแข็งและเพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็งตับ

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบ

อาการตับอักเสบนั้น ส่วนมากแล้วจะเกิดจากยารักษาโรคที่เรากินกันเข้าไปนี่แหละ รวมถึงพิษของแอลกอฮอล์ด้วย นอกจากนี้ การทานสมุนไพรบางชนิด การได้รับสารเคมีจากโรงงานที่ปนเปื้อนในน้ำดื่มน้ำใช้ ก็พาไปสู่ปัญหาโรคตับอักเสบได้เช่นกัน

ซึ่งยารักษาโรคเกือบทุกชนิดนั้น ถ้าเราได้รับในปริมาณที่มากเกินพอดี ก็นำไปสู่ปัญหาตับอักเสบได้ทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นยาแก้ปวด ยาลดไข้ พาราเซตามอล หรือแม้แต่วิตามินเอก็เช่นกัน

อีกทั้งในบางคนอาจจะมีความไวต่อยาบางชนิดมากจนถึงขั้นทำให้ทานนิดเดียวก็สามารถเป็นโรคตับอักเสบได้เลย โดยไม่มีสัญญาณเตือนให้เห็นล่วงหน้าด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นการใช้ยาต่าง ๆ จึงต้องใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น ไม่ซื้อใช้เองพร่ำเพรื่อ ถึงแม้จะเป็นแค่ยาแก้ปวด ลดไข้ ทั่ว ๆ ไปก็ตาม…

ประเภทของตับอักเสบ

ช่องทางการติดไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิด

ไวรัสตับอักเสบ เอ

พบได้บ่อยในประเทศที่มีสาธารณสุขไม่ค่อยดี เพราะเกิดจากการได้รับเชื้อไวรัสผ่านทางการทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนไวรัส ซึ่งออกมาจากอุจจาระของผู้ที่ติดเชื้อนั่นเอง ซึ่งประเทศที่กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนาจะพบปัญหาตับอักเสบชนิดนี้เยอะมากเลยล่ะ

ไวรัสตับอักเสบ บี

เป็นโรคตับอักเสบที่สามารถติดต่อได้ทางเลือด หรือของเหลวในร่างกาย อาจจะเป็นจากแม่สู่ลูก จากการมีเพศสัมพันธ์ หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดนี้ก็ได้ ซึ่งประเทศไทยพบตับอักเสบชนิดนี้มากที่สุด

ไวรัสตับอักเสบ ซี

เกิดจากการที่เราได้รับของเหลวจากร่างกายของคนที่มีเชื้อนี้อยู่ อาจจะมาจากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การมีเพศสัมพันธ์ หรือติดต่อผ่านทางเลือดจากแม่สู่ลูก ซึ่งผู้ที่ป่วยเป็นโรคตับอักเสบซีนั้นจะมีอาการป่วยเรื้อรัง จนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย

ไวรัสตับอักเสบ ดี

เป็นโรคตับอักเสบอีกหนึ่งชนิดที่รุนแรงมากแต่พบได้น้อยกว่าชนิดอื่น ๆ ซึ่งเกิดจากการรับเชื้อจากผู้ที่ติดเชื้อโดยตรง และจะเกิดเฉพาะกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เท่านั้น เพราะมันจะไม่สามารถกระจายตัวได้ถ้าไม่มีไวรัสตับอักเสบ บี ในร่างกายอยู่ก่อน

ไวรัสตับอักเสบ อี

เป็นการติดเชื้อไวรัสจากการดื่มหรือทานอาหารที่มีอุจจาระที่ติดเชื้อปนอยู่ ซึ่งเป็นโรคที่พบได้ในประเทศที่มีปัญหาด้านสาธารณสุข หรือระบบจัดการน้ำไม่ดี น้ำดื่มมีการปนเปื้อน และรับประทานอาหารโดยไม่ผ่านการปรุงสุกเพื่อฆ่าเชื้อก่อน

ตับอักเสบจากการดื่มแอลกอฮอล์

นอกจากนี้การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไปก็เป็นสาเหตุสู่อาการตับอักเสบได้เช่นกัน เพราะแอลกอฮอล์จะทำลายเซลล์ตับ ซึ่งถ้าปล่อยไว้นาน ๆ อาจทำให้ตับเสียหายถาวร หรือที่เรียกว่าอาการตับแข็งนั่นเอง

ตับอักเสบจากการใช้ยา และการรับสารพิษ

การใช้ยาเกินขนาด และใช้ยาอย่างต่อเนื่องนานกว่าระยะเวลาที่กำหนด ก็สร้างความเสียหายต่อตับได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของพาราเซตามอล ยากลุ่มเอ็นเสด ยาคุมกำเนิด ยาแก้อักเสบอะม็อกซีซิลลินที่มีส่วนผสมของคลาวูลาเนท ยากลุ่มซัลฟา ยากลุ่มสแตติน ยาอะมิโอดาโรน ยาอะนาบอลิกสเตียรอยด์ ยาคลอร์โปรมาซีน ยาอิริโทรมัยซิน ยาเมทิลโดปา ยาไอโซไนอาซิด ยาเมโธเทรกเซท ยาเตตราไซคลีน และยากันชักบางชนิด

ตับอักเสบจากการตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกัน

ตับอักเสบ ชนิดนี้เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานผิดพลาด โจมตี และขัดขวางการทำงานของตับ ทำให้ตับของเราเสียหาย ซึ่งอาการตับอักเสบจากสาเหตุนี้จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 3 เท่าเลยทีเดียว

อาการตับอักเสบเฉียบพลัน

อาการตับอักเสบเฉียบพลัน

อาการของตับอักเสบนั้นบางครั้งก็ไม่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งคนที่ป่วยเองก็อาจจะไม่รู้ตัวเลยก็ได้ว่าตัวเองกำลังเป็นอยู่ ซึ่งขั้นตอนการสังเกตอาการตับอักเสบแบบง่ายที่สุดคือ ให้คอยดูอาการเหล่านี้ไว้ให้ดี ถ้าเข้าข่ายอาการเหล่านี้เมื่อไหร่ ให้รีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

  • รู้สึกเหนื่อย เมื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไรก็เหมือนจะไม่มีแรง
  • ปวดตามข้อต่อ ปวดกล้ามเนื้อต่าง ๆ
  • รู้สึกไม่สบายตัว มีอาการเป็นไข้สูงรวมอยู่ด้วย โดยอาจสูงถึง 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป
  • มีอาการปัสสาวะสีเข้ม
  • อุจจาระสีซีดลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
  • มีอาการปวดท้องรวมอยู่ด้วย
  • เบื่ออาหาร ทานไม่ลง ไม่อยากอาหาร
  • คันตามผิวหนัง
  • น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • เกิดภาวะดีซ่าน หรือมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง

อาการตับอักเสบระยะเรื้อรัง

สำหรับอาการตับอักเสบแบบเรื้อรังนั้นจะแตกต่างกับระยะเฉียบพลันที่เราได้บอกไปข้างต้นอยู่เล็กน้อย ซึ่งบางรายอาจจะไม่มีอาการให้เห็นด้วยซ้ำไป จะพบได้ว่าเป็นโรคตับอักเสบก็ต่อเมื่อตรวจเลือดดูการทำงานของตับ แต่สำหรับบางคนก็สามารถดูได้จากอาการเหล่านี้

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยล้าได้ง่าย ง่วงซึมกว่าปกติ
  • ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง
  • เจ็บใต้ชายโครงขวา เป็น ๆ หาย ๆ

ภาวะแทรกซ้อนของตับอักเสบเรื้อรัง

ผู้ป่วยที่มีอาการตับอักเสบบี ซี และชนิดเรื้อรัง อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น โรคตับเรื้อรัง โรคตับแข็ง และโรคมะเร็งตับได้ นอกจากนี้ยังสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายอื่น ๆ ขึ้นได้ เช่น

  • ภาวะเลือดออกผิดปกติ
  • ท้องมาน
  • ภาวะความดันสูงในระบบหลอดเลือดดำของตับ
  • ภาวะไตวาย
  • อาการทางสมองที่มีสาเหตุจากโรคตับ
  • มะเร็งตับ

ซึ่งอาการต่าง ๆ อาจทรุดตัวลง ทำให้ร่างกายอ่อนแอ จนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว

ตรวจตับอักเสบ

วิธีตรวจวินิจฉัยโรคตับอักเสบ

สำหรับการวินิจฉัย โรคตับอักเสบ นั้น แพทย์จะดูจากประวัติของอาการเป็นหลัก รวมถึงประวัติการใช้ยาต่าง ๆ และการดื่มแอลกอฮอล์ของเรา การกินสมุนไพร การทานยา การอยู่อาศัยว่าใกล้แหล่งโรงงานหรือไม่ นอกจากนี้จะมีการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด ดูการทำงานของตับด้วย ซึ่งสำหรับบางคนแพทย์อาจจะมีการตรวจสภาพตับด้วยอัลตราซาวด์ หรือเอกซเรย์ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์แต่ละท่าน

การตรวจเลือด

เพื่อดูว่าการทำงานของตับมีตรงไหนบกพร่องหรือไม่ ถ้าพบว่าเอนไซม์ตับมีปริมาณมาก นั่นแสดงว่าตับกำลังทำงานไม่ปกติ แต่ถ้าแพทย์ต้องการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาว่าสาเหตุของตับอักเสบมาจากไหน ก็อาจจะมีการใช้ชุดเครื่องมือตรวจอื่น ๆ เข้ามาร่วมด้วย เช่น ตรวจสารต้านภูมิคุ้มกัน หรือตรวจการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันว่าต่อต้านตับตัวเองหรือไม่

การตรวจอัลตราซาวด์

เป็นการตรวจตับอักเสบโดยใช้คลื่นเสียงสร้างภาพอวัยวะภายในช่องท้อง เพื่อดูว่าตับเป็นยังไง ทั้งขนาด ทั้งความเสียหาย มีเนื้องอกในตับมั้ย หรือมีความผิดปกติของถุงน้ำดีหรือไม่ เป็นต้น

การตรวจชิ้นเนื้อ

แพทย์อาจใช้อัลตราซาวด์เพื่อนำทาง และเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อจากตับด้วยการใช้เข็มจิ้มผ่านผิวหนัง เพื่อตรวจหาความผิดปกติของเซลล์ และการอักเสบของตับ

รักษาโรคตับอักเสบด้วยการทานยา

วิธีรักษาตับอักเสบแต่ละประเภท

ไวรัสตับอักเสบ เอ

เนื่องจากอาการตับอักเสบเอเป็นการป่วยระยะสั้น ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีเฉพาะ แค่นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ก็สามารถหายจากอาการผิดปกติต่าง ๆ ได้

แต่สำหรับใครที่มีอาการท้องเสีย อาเจียน ควรปฏิบัติตามแพทย์สั่ง เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและขาดสารอาหารนั่นเอง

ไวรัสตับอักเสบ บี

สามารถรักษาได้โดยการทานยาต้านไวรัส ซึ่งต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ และมีการประเมินการตอบสนองของไวรัส ซึ่งต้องใช้เวลารักษานานหลายเดือน หรืออาจเป็นปีเลย

ไวรัสตับอักเสบ ซี

อาจต้องได้รับยาต้านไวรัสหลายชนิด และอาจต้องมีการผ่าตัดเปลี่ยนตับ สำหรับใครที่เป็นหนักถึงขั้นตับอักเสบติดเชื้อ หรือตับแข็ง

ไวรัสตับอักเสบ ดี

ในปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสตับอักเสบ ดี ได้เลย

ไวรัสตับอักเสบ อี

ตับอักเสบ อี ก็เช่นกัน ยังไม่มีการรักษาเฉพาะสำหรับผู้ที่ติดเชื้อ เนื่องจากเป็นการติดเชื้อที่หายเองได้ แพทย์อาจแนะนำให้นอนพักให้เต็มที่ ดื่มน้ำมากๆ ทานอาหารที่มีประโยชน์ และงดดื่มแอลกอฮอล์

ตับอักเสบจากการดื่มแอลกอฮอล์

สำคัญที่สุดคือ คนป่วยต้องงดดื่มแอลกอฮอล์เด็ดขาด หรือควบคุมปริมาณการดื่มให้ดี เพื่อให้ตับได้มีเวลาพักฟื้นตัวเอง

ตับอักเสบจากการใช้ยา

ให้หยุดใช้ยาที่ทานอยู่ทั้งหมด และรักษาตามอาการป่วยอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น

ตับอักเสบจากการต่อต้านระบบภูมิคุ้มกัน

สำหรับการรักษาตับอักเสบชนิดนี้อาจต้องใช้ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์และยากดภูมิคุ้มกัน เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่ทำการต่อต้านตับตัวเอง

วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นตับอักเสบ

สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่พบแพทย์แล้วมั่นใจว่าตัวเองมีอาการตับอักเสบแน่นอน ก็ไม่ต้องกังวลใจกันไป เพราะเราสามารถดูแลตัวเองได้ง่าย ๆ เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำให้หายจากอาการตับอักเสบทั้งหลายด้วยวิธีเหล่านี้

  • เลิกกิน และ ดื่ม สิ่งที่เป็นต้นเหตุให้ตับอักเสบ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ นอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง
  • ดื่มน้ำสะอาดปริมาณมาก อย่างน้อย ๆ วันนึงควรดื่มให้ได้ 8-10 แก้ว
  • งดดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด
  • กินอาหารอ่อน และหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีไขมันสูง
  • ออกกำลังกายเบา ๆ ไม่หนักมาก เพื่อลดการทำงานของตับลง
  • ไม่ซื้อยามาทานเอง ให้ใช้เฉพาะยาที่แพทย์สั่ง หรือแนะนำมาเท่านั้น
  • พบแพทย์ตามนัดเสมอ เพื่อดูอาการ และความเป็นไปของโรค
  • ถ้าอาการต่าง ๆ แย่ลง เช่น มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย เหนื่อย เจ็บใต้ชายโครงขวา ให้รีบพบแพทย์ทันที
ป้องกันตับอักเสบ

วิธีป้องกันตัวอย่างไร ให้ห่างไกลจากภาวะตับอักเสบ

สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่ยังไม่มีอาการตับอักเสบ และไม่อยากที่จะเป็น ก็สามารถเลือกที่จะดูแลตัวเองได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีการเหล่านี้…

รักษาสุขอนามัย

อันดับแรกเลยอย่างที่เพิ่งบอกไปว่าเรื่องของสุขอนามัยนั้นเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นให้ล้างมือให้สะอาด ไม่ใช้เข็มฉีดยา มีดโกน แปรงสีฟัน หรือแก้วน้ำ รวมถึงช้อน ส้อม ร่วมกับใคร ไม่สัมผัสเลือด หรือของเหลวของคนอื่น และหลีกเลี่ยงน้ำที่อาจมีการปนเปื้อนเชื้อไวรัส เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ

มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย

เนื่องจากไวรัสตับอักเสบ ทั้งบี ซี และดี สามารถติดต่อกันได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อตับอักเสบตรงนี้ไปได้ อีกทั้งยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย

รับประทานอาหารอย่างระวัง

เลือกทานอาหารที่ปรุงสุก ดื่มน้ำต้ม หรือน้ำสะอาด โดยเฉพาะเวลาเดินทางไปไหนต่างที่ ก็ให้ระวังเรื่องของการทานอาหารเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบต่าง ๆ รวมถึงการรับประทานอาหารบำรุงตับก็มีความจำเป็น เพื่อบำรุงฟื้นฟูตับของเราให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ฉีดวัคซีน

การฉีดวัคซีนสามารถป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอและบีได้ ซึ่งปกติแล้วเด็ก ๆ จะได้รับการฉีดต้านไวรัสนี้ตั้งแต่เกิดแล้ว แต่เด็กที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่นั้นต้องมีการตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันก่อนรับวัคซีน ซึ่งในประเทศไทยเราสามารถเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบบี “ฟรี” ณ โรงพยาบาลประจำจังหวัดที่เข้าร่วมโครงการฯ ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ แต่สำหรับค่าวัคซีนนั้นจะมีค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับแต่ละสถานพยาบาล

ใครที่สนใจต้องการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอและบี สามารถตรวจสอบแพคเกจราคาฉีดวัคซีนอัพเดทล่าสุด พร้อมค้นหาคลินิก รพ. ใกล้บ้านคุณได้ที่นี่ครับ

งดดื่มแอลกอฮอล์

อย่างที่รู้กันดีว่าการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ตับต้องทำงานหนักและเป็นสาเหตุแห่งการเกิดโรคตับอักเสบ ดังนั้นการงดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดจึงเป็นการช่วยให้ตับได้พักผ่อน และป้องกันความเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบ

เห็นมั้ยครับว่าโรคตับอักเสบนั้นอยู่ใกล้ตัวเราสุด ๆ แถมยังน่ากลัวอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นการทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ทานยามั่ว หรือกินยาที่เกินขนาดตามอำเภอใจ ก็จะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคร้ายนี้ได้ ไม่ทำให้คุณภาพชีวิตของเราตกต่ำลงกว่าเดิมนั่นเอง

OMG Vitaliv
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดูแลตับ
  • รวมสมุนไพร วิตามิน สารอาหารที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูตับกว่า 34 ชนิด
  • มีการทดลองจริงในผู้มีปัญหาตับอักเสบ และผลตรวจที่เชื่อถือได้
  • ทานได้ทั้งผู้ที่มีปัญหาตับระยะเริ่มต้น – ระยะรุนแรง
  • สินค้าผ่านการขึ้นทะเบียน อย. 11-1-18157-1-0056
ดูข้อมูลสินค้า